จากการเป็น “แหล่งธุรกิจสร้างสรรค์” ด้วยมีสภาพแวดล้อมเฉพาะตัวที่เอื้อต่อกิจกรรมด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 6 ทำเลข้างต้น คือ หัวแถวนำกรุงเทพฯ สู่ Creative City แนวคิดแห่งการสร้างเมืองให้มั่งคั่งด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์
การพัฒนาเศรษฐกิจตามโมเดล “สร้างโรงงาน ปล่อยปล่องไฟ” เริ่มถูกวิพากษ์ว่า “หลงทิศ” เพราะโมเดลเศรษฐกิจใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 จะต้องมีความยั่งยืน เน้นยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าจากทุนความรู้ โดยสร้างแหล่งรวมนักคิดและผู้ประกอบการสร้างสรรค์
หลอมรวมกันจนเกิดเป็นการจ้างงาน สร้างรายได้ เป็นพลังสู่การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของเมืองและประเทศได้อย่างแข็งแกร่ง
ดังที่เคยเกิดขึ้นในยุโรป สหรัฐ หรือเกาหลีซึ่งล้วนใช้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น เบอร์ลิน ต้นแบบของเมืองสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ก้องโลกกับการเป็นเมืองแห่งศิลปะและ งานออกแบบ ที่ดึงคนให้มาเยือนจนเป็นพลังเสริมสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ
เบอร์ลินวันนี้จึงเป็นศูนย์กลางแห่งงานศิลปะอันดับสองของโลกรองจากนิวยอร์ก มีประชากรเกือบ 8 หมื่นคน ในสายงานออกแบบ สื่อสาร บันเทิง ดนตรี วรรณกรรม การแสดง และศิลปะ สร้างมูลค่ารวมกันไม่น้อยกว่า 8 พันล้านยูโร หรือกว่า 360,000 ล้านบาท
หรือโซลจากเกาหลี จากเมืองที่เคยก็อปปี้ญี่ปุ่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมภายในเกาหลีทำให้เกาหลียกระดับกรุงโซล ขึ้นมาเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เป็นผู้นำในด้าน Digital Media City จากการบ่มเพาะธุรกิจไอทีและสื่ออย่างครบวงจร และยังขึ้นแท่นเป็นเมืองหลวงแห่งการออกแบบในปี 2010
“ทฤษฎีใหม่ที่จะสร้างเศรษฐกิจโลกให้มั่งคั่งได้ คือ องค์ความรู้จากแนวคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ซึ่งเป็นเสมือน “ทุน” และ “วัตถุดิบ” สิ่งเหล่านี้จะเข้ามาแทนที่แรงงาน และทรัพยากรธรรมชาติ เพราะการผลิตและอุตสาหกรรมปล่องควันไฟที่เป็นทฤษฎีเก่าในศตวรรษที่ 20 ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ทำให้สินค้าไม่มีความแตกต่างกัน” ปรมาจารย์นักวางผังเมืองระดับโลก ไมเคิล ฟรีดแมน ผู้มีประสบการณ์พัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์และวางผังเมืองในเขต Silicon Valley กล่าวถึงการสร้างเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องมุ่งสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
แต่จะเกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ ต้องสร้างเมืองให้เป็น “เมืองสร้างสรรค์” หรือ Creative City ด้วย เพราะเมืองสร้างสรรค์จะดึงดูดคนที่มีความคิดสร้างสรรค์เข้ามาในพื้นที่ เอื้อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่มาจากความคิดสร้างสรรค์
เมื่อเมืองเป็นแหล่งรวมนักคิด ผู้ประกอบการสร้างสรรค์ ก็ยิ่งเพิ่มศักยภาพให้กับเศรษฐกิจ
“เมือง” ถือเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันความคิดสร้างสรรค์ หากออกแบบเมืองให้เกิดสังคมแบบเปิด สร้างสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม สร้างบรรยากาศที่ดึงดูดคนคิดสร้างสรรค์ให้มารวมกัน เพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์คนคิดสร้างสรรค์ มีบริษัทที่ชำนาญด้านการผลิตธุรกิจสร้างสรรค์เข้ามาลงทุน ให้เกิดการจ้างงาน จะเกิดเมืองที่มีศูนย์รวมของคนที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายมาบรรจบกัน” ฟรีดแมนให้ภาพใหญ่
ส่วนประเทศไทย การมีวัตถุดิบด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ สังคม และบริการชั้นยอด ที่รวมกลุ่มกันเหนียวแน่น ทำให้หลายฝ่ายเล็งว่า เหมาะที่จะดึงมาต่อยอดให้กลายเป็นชุมชนเมืองแห่งการสร้างมวลชนสร้างสรรค์
เริ่มนำร่องจากกรุงเทพ เมืองสร้างสรรค์ ต้นแบบในไทย แล้วแพร่ขยายไปยังชุมชนเมืองในภูมิภาคเหนือ ใต้ อีสาน
ครีเอทีฟ ซิตี้ เวอร์ชั่น กรุงเทพ ควรจะเดินไปแบบไหน นักวิชาการและผู้วิจัยจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่นำทีมโดย พีรดร แก้วลาย ได้ร่วมกันศึกษา พิจารณาถึงพื้นที่ที่ขับเคลื่อนและส่งเสริมความเป็นเมืองสร้างสรรค์ โดยค้นหาศักยภาพของพื้นที่เหล่านั้น ทั้งในด้านบุคลากร การใช้พื้นที่เพื่อธุรกิจสร้างสรรค์ ระบบเครือข่ายที่ทำให้การทำงานสร้างสรรค์มีประสิทธิภาพ และหน้าที่หลักของแต่ละพื้นที่ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนกรุงเทพมหานคร สู่เมืองสร้างสรรค์ในอนาคต
“จากการสำรวจ เราได้พื้นที่มา 6 พื้นที่ คือ ทองหล่อ จตุจักร สยาม อาร์ซีเอ ทาวน์อินทาวน์ และสุขุมวิท โดยสยามถือเป็นแหล่งเทรนด์แฟชั่น จตุจักรเป็นพื้นที่ห่วงโซ่ธุรกิจสร้างสรรค์ ทาวน์อินทาวน์ เป็นเมืองโฆษณา ธุรกิจโปรดัคชั่น อาร์ซีเอเป็นพื้นที่ธุรกิจดนตรี ทองหล่อ ธุรกิจออกแบบ และสุขุมวิทเป็นกระดูกสันหลังของคนต่างชาติ” พีรดร ให้ข้อมูล
ขณะที่ สุพิชฌาย์ ศิลัยรัตน์ ตัวแทนกลุ่มวิจัยเมืองสร้างสรรค์ ให้รายละเอียดของแต่ละทำเลว่า ทองหล่อ ถือเป็นพื้นที่ที่รวมทุกปัจจัยของเมืองสร้างสรรค์ เพราะมีตั้งแต่ธุรกิจสร้างสรรค์อย่างสตูดิโอแต่งงาน อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ไปจนถึง ศูนย์การค้าชุมชน ย่านทองหล่อจึงมีคนทำงานในกลุ่มธุรกิจสร้างสรรค์เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ธุรกิจสร้างสรรค์ยังส่งผลให้เกิดธุรกิจอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร คอนโด เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และธุรกิจสถานบันเทิง
“คนทำงานในแวดวงธุรกิจสร้างสรรค์ย่านทองหล่อ เป็นกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบราว 400 คน ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ศิลปิน นักร้องกว่า 250 คน อาจารย์และนักศึกษาด้านการออกแบบในสถาบันการสอนออกแบบกว่า 900 คน รวมทั้งสิ้น 1,600 คน” สุพิชฌาย์ให้ข้อมูล
โดยกลุ่มธุรกิจแต่งงาน ถือเป็นธุรกิจหลักในย่านทองหล่อ มีทั้งหมด 20 แห่ง สร้างมูลค่าธุรกิจประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30% ของธุรกิจแต่งงานในกรุงเทพฯ ที่มีมูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนธุรกิจสร้างสรรค์อื่นๆ ก็เช่น สตูดิโอออกแบบที่มีกระจายอยู่มากได้ก่อให้เกิดการเอื้อประโยชน์ระหว่าง ธุรกิจออกแบบ ธุรกิจอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์นำเข้า อย่างเช่น กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่มีถึง 40 ร้าน ถือว่ามีจำนวนมากเมื่อเทียบกับย่านอื่นๆ
นอกจากนี้ทองหล่อยังมีพื้นที่พบปะ เช่น ศูนย์การค้าชุมชน พื้นที่ที่คนทำงานสร้างสรรค์ใช้เป็นสถานที่พบปะ เช่น มีร้านกาแฟสตาร์บัคส์ถึง 3 ร้านคิดเป็น 16% ของร้านสตาร์บัคส์ในสุขุมวิท
องค์ประกอบอื่นๆ ที่ส่งเสริมให้ทองหล่อเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ คือ การมีสถานที่และกิจกรรมที่สนับสนุนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น สถาบันปรีดี พนมยงค์ เวทีสำหรับศิลปวัฒนธรรม สถาบันการออกแบบ Accademic Italiana สถาบันดนตรี KPN Music Academy และ Superstar Academy ซึ่งทั้งสองสถาบันมีจำนวนบุคลากรรวมกันกว่า 800 คน รวมถึงระบบขนส่งมวลชน
“ทองหล่อเป็นพื้นที่รวมปัจจัยที่เกี่ยวข้องและจำเป็นสำหรับกลุ่มคนทำงาน สร้างสรรค์ เมื่อผนวกกับพื้นที่เพื่อการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ ทำให้ทองหล่อมีปัจจัยที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจสร้างสรรค์ที่หาได้ยากใน พื้นที่อื่นๆ” สุพิชฌาย์ กล่าว
สำหรับพื้นที่ จตุจักร ถือเป็นจุดเชื่อมต่อของธุรกิจสร้างสรรค์ ด้วยความหลากหลายของสินค้า ความแปลกใหม่ และเป็นพื้นที่ซึ่งเอื้อต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่ใช้ความคิดสร้าง สรรค์
มีทั้งการออกแบบ การผลิต เพื่อจำหน่ายในร้าน เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับผู้ผลิตงานสร้างสรรค์จากทั่วประเทศ และเป็นโอกาสทางการค้าของผู้ผลิตสินค้าสร้างสรรค์สำหรับกลุ่มลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ
ปัจจุบันตลาดนัดอย่างจตุจักรมีแผงร้านค้าถาวรมากกว่า 1 หมื่นร้าน และแผงลอยอีกกว่า 300 ร้าน มีคนมาจับจ่ายในวันเสาร์อาทิตย์กว่า 2 แสนคน มีเงินหมุนเวียนต่อสัปดาห์ประมาณ 100-120 ล้านบาท
“รูปแบบร้านค้าในจตุจักรมี 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม A เป็นสินค้าวัตถุดิบ เช่น ลูกปัด เม็ดหิน เส้นเชือก เน้นขายส่ง มีจำนวน 37% กลุ่ม B ร้านขายสินค้าที่ซื้อวัตถุดิบภายในจตุจักรแล้วนำมาออกแบบ ผลิตเป็นสินค้าขายในร้าน มีจำนวน 33.71% และกลุ่ม C ร้านที่ออกแบบและผลิตชิ้นงานเอง แต่ซื้อหาวัตถุมาจากภายนอก มีจำนวน 29.21%” ทีมวิจัยให้ข้อมูลถึงห่วงโซ่การค้าในจตุจักร
ในส่วนของ สยามสแควร์ ถือเป็นทำเลโดดเด่นในฐานะเป็นแหล่งแฟชั่น แหล่งรวมความทันสมัย ทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นย่านเกาะติดกระแสแฟชั่นโลก และเป็นที่แจ้งเกิดแบรนด์แฟชั่นไทย
การแวดล้อมด้วยสถาบันการศึกษา สถาบันกวดวิชา ยังทำให้สยามสแควร์เป็นแหล่งรวมกลุ่มวัยรุ่น คนหนุ่มสาว พื้นที่โล่งยังเอื้อต่อกิจกรรมต่างๆ เช่น เปิดตัวสินค้า คอนเสิร์ต ถ่ายภาพยนตร์ ฯลฯ บรรยากาศที่สยามสแควร์จึงคึกคักทั้งในวันธรรมดาและวันหยุด
วันธรรมดาจะมีผู้คนในพื้นที่ราว 2 หมื่นคน ส่วนวันหยุด ราว 5 หมื่นคน กำลังซื้ออยู่ที่ 1 พันบาทต่อคนต่อครั้ง สยามสแควร์จึงมีเงินหมุนเวียน 20-50 ล้านบาทต่อวัน
ธุรกิจเสื้อผ้าและแฟชั่น ถือเป็นธุรกิจใหญ่สุดในสยามสแควร์ พื้นที่จึงถูกใช้เป็นร้านเสื้อผ้ามากที่สุด 46.7% รองลงมาเป็นร้านอาหาร 18.2% นอกจากนี้ยังมีสถาบันกวดวิชา 7.32%
สยามสแควร์ยังถือเป็นแหล่งแจ้งเกิดแบรนด์ของนักออกแบบหน้าใหม่ จนก้าวสู่ตลาดแฟชั่นระดับนานาชาติ เช่น Tube gallery, ISSUE, It’shappened to e a closet
สำหรับผู้ประกอบการที่มาเปิดร้านในสยามสแควร์ ส่วนมากเป็นนักออกแบบรุ่นใหม่ ต้องการทดลองผลิตและจำหน่ายสินค้าที่แปลกใหม่ โดดเด่น แม้ว่าค่าเช่าจะสูงประมาณ 1-3 แสนบาทต่อเดือน แต่จะมีการร่วมกันแบ่งภาระค่าเช่า เพราะการใช้พื้นที่ร้านของนักออกแบบกลุ่มนี้มีไม่มากนัก เนื่องจากเน้นผลิตน้อยชิ้นและเน้นสินค้าที่มีความแตกต่าง ช่วยให้ค่าเช่าพื้นที่ลดลงเหลือประมาณเดือนละ 2 หมื่น-1.2 แสนบาท ขณะที่สามารถสร้างรายได้ เดือนละ 1-7 แสนบาท
“สยามสแควร์เป็นพื้นที่ซึ่งนักออกแบบแฟชั่นเสื้อผ้าใฝ่ฝันที่จะมีกิจการเป็น ของตนเอง เพราะไม่เพียงสร้างรายได้ แต่การมีร้านเสื้อผ้าแฟชั่นยังหมายถึงการได้สร้างสรรค์ชิ้นงาน ถือเป็นกำลังในการขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์”
ทาวน์อินทาวน์ ถือเป็นทำเลศูนย์กลางการออกแบบและสื่อมัลติมีเดียของกรุงเทพฯ ด้วยการปรับลุคของหมู่บ้านจัดสรรมาเป็นโฮม ออฟฟิศ เนื่องจากราคาค่าเช่าที่ไม่แพงและอยู่ใกล้แหล่งธุรกิจ จนปี 2547 พื้นที่ทาวน์อินทาวน์จึงเริ่มกลายเป็นย่านของครีเอทีฟ ออฟฟิศ
จากการศึกษาของทีมวิจัยกลุ่มผังเมือง พบว่า ขณะนี้เป็นพื้นที่พักอาศัยประมาณ 46.68% ขณะที่เป็นอาคารสำนักงานประมาณ 39.31% โดยมีบริษัทที่ทำธุรกิจสร้างสรรค์รวมตัวกันถึง 119 แห่ง ได้แก่ บริษัทสื่อและโฆษณา บริษัทถ่ายทำตัดต่อหนัง บริษัทสถาปนิก บริษัทออกแบบ มีคนทำงานในกลุ่มธุรกิจนี้ประมาณ 1,012 คน
บริษัทเหล่านี้จะทำงานในลักษณะให้บริการเชื่อมโยงกันตามกระบวนการผลิตสื่อ มัลติมีเดีย ตั้งแต่เป็นบริษัทพรีโพรดัคชั่น บริษัทโพรดัคชัน และบริษัทโพสต์ โพรดัคชั่น
“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมีเดียสามารถผลิตได้ในย่านนี้ รายได้ของธุรกิจสร้างสรรค์ในย่านนี้พบว่า ปี 2549 สร้างรายได้ 2,640 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรายได้สื่อสร้างสรรค์ของประเทศ 4.9 แสนล้านบาท เท่ากับทาวน์อินทาวน์สร้างรายได้ 0.5% ของด้านนี้” สุพิฌาย์ กล่าว
อาร์ซีเอ เป็นอีกทำเลธุรกิจสร้างสรรค์ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจดนตรี สื่อ และสถานบันเทิง ด้วยภาพลักษณ์สถานบันเทิงของอาร์ซีเอ ทำให้กลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์ มองเห็นศักยภาพและโอกาสของพื้นที่ ซึ่งมีข้อได้เปรียบเรื่องค่าเช่าราคาถูกเมื่อเทียบกับย่านสุขุมวิท ที่ห่างกันไม่ถึง 3 ก.ม.
อาร์ซีเอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจึงเกิดปรากฏการณ์กระจุกตัวของคนทำงานสร้างสรรค์หลากหลายประเภท ตั้งแต่สื่อสิ่งพิมพ์ สถานีวิทยุ บริษัทโฆษณา และบริษัทสร้างสรรค์สื่อสมัยใหม่ประเภทต่างๆ ธุรกิจภาพยนตร์ กลุ่มอุตสาหกรรมดนตรี ธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์
“จากยูนิตทั้งหมดที่มีการใช้งาน 342 ยูนิต การใช้พื้นที่ของกลุ่มธุรกิจสร้างสรรค์มีมากถึง 124 ยูนิต คิดเป็น 36.25% เนื่องจากพื้นที่ที่เอื้อ โดยเป็นทั้งพื้นที่พบปะของคนทำงานสร้างสรรค์ในพื้นที่ การใช้พื้นที่ของอุตสาหกรรมดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวนักร้องคนใหม่ พื้นที่จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ดนตรีอื่นๆ”
ชาวต่างชาติ ถือเป็นอีกองค์ประกอบของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพราะความหลากหลายทางเชื้อชาติ หมายถึงโอกาสในการเปิดพื้นที่ของความคิดที่หลากหลาย สุขุมวิท ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยรองรับคนต่างชาติจึงเป็นอีกพื้นที่สร้างสรรค์ ของกรุงเทพฯ
“เหตุผลที่ย่านสุขุมวิทเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากที่สุด ทั้งแหล่งชอปปิง โรงแรมห้าดาว อาคารสำนักงาน คอนโดมีเนียม โรงพยาบาลขนาดใหญ่ ระบบขนส่งมวลชน” สุพิฌาย์ กล่าว
ทั้งนี้ชาวต่างชาติที่พักอยู่ในไทยสูงสุด คือ ชาวญี่ปุ่นซึ่งนิยมพักอาศัยในย่านสุขุมวิทจนได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านญี่ปุ่น
ข้อมูลของปี 2548 ระบุว่า ไทยมีชาวญี่ปุ่นอยู่มากเป็นอันดับ 7 ของโลก และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงาน ใช้ชีวิตในไทยเพิ่ม 10% ทุกๆ ปี ปัจจุบันจึงมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำงานประมาณ 4.5 หมื่นคน ถือเป็นกลุ่มคนที่ใช้ฐานความรู้ในการทำงาน และยังส่งผลให้เกิดการพัฒนาธุรกิจมากมาย เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวญี่ปุ่น
สาเหตุที่คนญี่ปุ่นเลือกพักย่านสุขุมวิท เพราะต้องการใช้เวลาเดินทางไปยังที่ต่างๆ เช่นที่ทำงาน โรงเรียน แหล่งชอปปิงไม่เกิน 15 นาที นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลคุณภาพสูง ร้านอาหาร ร้านขนมปังของคนญี่ปุ่น ร้านหนังสือ คอนโดที่อยู่ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมดี
“พื้นที่สุขุมวิทเป็นพื้นที่ส่งเสริมความเป็นเมืองสร้างสรรค์ของกรุงเทพฯ เพราะมีศักยภาพตอบสนองความต้องการกลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์ต่างชาติ จากความสะดวกในการเดินทาง ที่อยู่ รองรับการใช้ชีวิตที่เป็นสากล และมีสิ่งอำนวยความสะดวกทัดเทียมเมืองใหญ่ของโลก
หากคนญี่ปุ่นเลือกสุขุมวิทเป็นบ้านหลังที่สองได้ ย่อมหมายความว่า สุขุมวิทย่อมมีความพร้อมสำหรับคนชาติอื่นๆ ด้วย” สุพิฌาย์กล่าว
จากสภาพแวดล้อมของเมืองที่ไม่หยุดนิ่งตลอด 24 ชั่วโมง มีผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในหลายสาขา เป็นที่รวมของกลุ่มคนหลายเชื้อชาติ เป็นพื้นที่ที่ผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลาย กรุงเทพฯ จึงถือว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่เมืองสร้างสรรค์ได้ เห็นได้จากทำเลสร้างสรรค์ข้างต้นที่มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไป ระดับหนึ่งแล้ว
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ksmecare.com |